วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ ด.ช.พงษ์ศักดิ์     นันตา
บ้านเลขที่ 11   หมู่ที่ 6    ต.คือเวียง    
อ.ดอกคำใต้     จ.พะเยา
ร.ร.ดอกคำใต้วิทยาคม 

ประวัติของจ.พะเยา


ประวัติของจ.พะเยา


ประวัติความเป็นมาและเหตุการณ์สำคัญ
1. สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา
          พะเยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เดิมมีชื่อว่า เมืองภูกามยาว หรือ พยาว เคยมีเอกราชสมบูรณ์ มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันติวงศ์มา ปรากฎตามตำนานเมืองพะเยา ดังนี้
ขุนจอมธรรม เป็นพระราชโอรสของขุนเงินหรือลาวเงิน กษัตริย์ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสน พุทธศักราช 1602 (จุลศักราช 421) พ่อขุนเงินหรือลาวเงิน ดำริใหพระราชโอรส องค์ คือ ขุนชินให้อยู่ในราชสำนักครองนครเงินยางเชียงแสน และ ขุนจอมธรรมโอรสองค์ที่ 2ให้ปกครองเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้
                ขุนจอมธรรมพร้อมข้าราชการบริวารขนเอาพระราชทรัพย์บรรทุกม้า พร้อมพลช้าง พลม้า ตามเสด็จถึงเมืองภูกามยาว และตั้งรากฐานเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณเมืองหนึ่ง นามว่า สีหราช” อยู่เชิงเขาชมภูหางดอยด้วน ลงไปจรดฝั่งแม่น้ำสายตา มีสัณฐานคล้ายลูกน้ำเต้า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ทางตะวันตก อันหมายถึงก๊วานพะเยา และทางทิศอีสานคือ หนองหวีและหนองแว่น ต่อมารวมไพร่พลหัวเมืองต่างๆ ได้ 80,000 คน จัดแบ่งได้ 36 พันนา นาละ 500 คน มีเขตแคว้นแดนเมืองในครั้งกระโน้น ดังนี้
                ทิศบูรพา   จรดขุนผากาดจำบอน ตาดม้าน บางสีถ้ำ ไทรสามต้น สบห้วยปู น้ำพุง สบปั๋ง ห้วยบ่อทอง ตาดซาววา กิ่วแก้ว กิ่วสามช่อง มีหลักหินสามก้อนฝังไว้กิ่วฤาษี แม่น้ำสายตา กิ่วช้าง กิ่วง้ม กิ่วเปี้ย ดอยปางแม่นาค
                ทิศตะวันตก   โป่งปูดห้วยแก้วดอยปุย แม่คาว ไปทางทิศใต้กิ่วรุหลาว ดอกจิกจ้อง ขุนถ้ำ ดอยตั่ง ดอยหนอก ผาดอกวัว แซ่ม่าน ไปจรดเอาดอยผาหลักไก่ทางทิศหรดีมีเมืองในอำนาจปกครอง คือ เมืองงาว เมืองกาว สะเอียบ เชียงม่วน เมืองเทิง เมืองสระ เมืองออย สะสาว เมืองดอบ เชียงคำ เมืองลอ เมืองเชียงแลง เมืองหงาว แซ่เหียง แซ่ลุล ปากบ่อง เมืองป่าเป้า เมืองวัง แซ่ซ้อง เมืองปราบ แซ่ห่ม
                ทิศใต้   สุดจรดนครเขลางค์และนครหริภุญชัย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อแดนขรนคร(เชียงของ)
                ขุนจอมธรรมปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และยึดมั่นในบวรพุทธศาสนา บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยโภคสมบัติ ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่มีสงคราม เจ้าประเทศราชต่าง ๆ ก็มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ทรงสั่งสอนไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินด้วยหลักธรรม ประการ คือ อปริหานิยธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ประเพณีธรรม ขนบธรรมเนียมอันเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงานของครอบครัว 1
                ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ ปี มีโอรส พระองค์ โหรถวายคำพยากรณ์ว่าราชบุตรองค์นี้จะเป็นจักรพรรดิราชปราบชมพูทวีป มีบุญญาธิการมากเวลาประสูติ มีของทิพย์เกิดขึ้น อย่าง คือ แส้ทิพย์ พระแสงทิพย์ คณโฑทิพย์ จึงให้พระนามว่า ขุนเจื๋อง” ต่อมาอีก ปี ได้ราชบุตรอีกพระนามว่า ขุนจอง” หรือ ชิง
                ขุนจอมธรรมปกครองเมืองพะเยาได้ 24 ปี พระชนมายุได้ 49 พรรษา
ขุนเจื๋อง ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช 1641 เป็นโอรสองที่ ของขุนจอมธรรม เมื่อขุนเจื๋องเจริญวัยขึ้น ทรงศึกษาวิชายุทธศาสตร์ เช่น วิชาดาบ มวยปล้ำ เพลงชัย จับช้าง จับม้า และเพลงอาวุธต่างๆ พระชนมายุได้ 16 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองน่านเจ้าผู้ครองเมืองน่านเห็นความสามารถแล้วพอพระทัย ยกธิดาชื่อ จันทร์เทวี” ให้เป็นชายาขุนเจื๋อง พระชนมายุได้ 17 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองแพร่ เจ้าผู้ครองเมืองแพร่พอพระทัย จึงยกธิดาชื่อ นางแก้วกษัตริย์” ให้เป็นชายา พระราชทานช้าง 200 เชือก
                ภายหลังขุนจอมธรรมสิ้นพระชนม์ขุนเจื๋องได้ครองราชสืบแทนเมื่อพระชนมายุ 24 ปี ครองเมืองได้ ปี มีข้าศึกแกว (ญวน) ยกทัพมาประชิดนครเงินยางเชียงแสน ขุนชินผู้เป็นลุง ได้ส่งสาส์นขอให้ส่งไพร่พลไปช่วยขุนเจื๋องได้รวบรวบรี้พลยกไปชุมนุมกันที่สนามดอนไชยหนองหลวง และเคลื่อนทัพเข้าตีข้าศึกแตกกระจัดกระจายไห เมื่อขุนชินทราบเรื่องก็เลื่อมใสโสมนัสยิ่งนัก ทรงยกธิดาชื่อ พระนางอั๊วคำคอน” ให้และสละราชสมบัตินครเงินยางเชียงแสนให้ขุนเจื๋องครองแทนเมื่อขุนเจื๋องได้ครองราชเมืองเงินยางแล้ว ทรงพระนามว่าพระยาเจื๋องธรรมมิกราช” ได้มอบสมบัติให้โอรสชื่อลาวเงินเรือง” ครองเมืองพะเยาแทน หัวเมืองใหญ่น้อยเหนือใต้ยอมอ่อนน้อม ได้ราชธิดาแกวมาเป็นชายานามว่า นางอู่แก้ว” มีโอรส พระองค์คือ ท้าวผาเรืองยี่คำห้าว ท้าวสามชุมแสง ต่อมายกราชสมบัติเมืองแกวให้ท้าวผาเรือง ให้ท้าวคำห้าวไปครองเมืองล้านช้าง ท้าวสามชุมแสงไปครองเมืองน่าน ต่อมาได้โยธาทัพเข้าตีเมืองต่างๆ ที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทรงชนช้างกับศัตรูเสียทีข้าศึกเพราะชราภาพ จึงถูกฟันคอขาดและสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง พวกทหารจึงนำพระเศียรไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์เมืองเหรัญนครเชียงแสน
                ขุนเจื๋อง ครองราชย์สมบัติครองแค้วนล้านนาไทยได้ 24 ปี ครองเมืองแกวได้ 17 ปี รวมพระชนมายุได้ 67ปี
                ฝ่ายท้าวจอมผาเรืองราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติเมืองพะเยาได้ 14 ปี ก็ถึงแก่พิราลัย ขุนแพงโอรสครองราชแทนได้ ปี ขุนซองซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า แย่งราชสมบัติ และได้ครองราชย์ เมืองพะเยาต่อมาเป็นเวลา 20 ปี และมีผู้ขึ้นครองราชสืบต่อมา จนถึงพระยางำเมืองซึ่งครองราช เป็นกษัตริย์เมืองพะเยาองค์ที่ นับจากพ่อขุนจอมธรรม
พ่อขุนงำเมือง ประสูติเมื่อพุทธศักราช 1781 เป็นราชบุตรของพ่อขุนมิ่งเมืองสืบเชื้อสายมาจากท้าวจอมผาเรือง พระชนมายุ 14 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาเล่าเรียนศิลปะศาสตร์เทพในสำนักเทพอิสิตนอยู่ภูเขาดอยด้วน ปี จบ การศึกษา พระชนมายุได้ 16 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาต่อ ขอถวายตัวอยู่ในสำนักสุกันตฤาษี ณ กรุงละโว้ (ลพบรี) จึงได้รู้จักคุ้นเคยกับพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยสนิทสนมผูกไมตรีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น ศึกษาศิลปศาสตร์ร่วมครูอาจารย์เดียวกันเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมาเมื่อเรียนจบก็เสด็จกลับเมืองพะเยา
                ปีพุทธศักราช 1310 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พ่อขุนงำเมืองขึ้นครองราชย์แทน พ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกับพระร่วง เจ้าตำนานกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ชอบสงคราม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรม ผูกไมตรีจิตต่อประเทศราชและเพื่อนบ้าน ขุนเม็งรายเคยคิดยกทัพเข้าบดขยี้เมืองพะเยา พ่อขุนงำเมืองล่วงรู้เหตุการณ์ก่อนแทนที่จะยกทัพเข้าต่อต้าน ได้สั่งไพร่พลให้อยู่ในความสงบ สั่งให้เสนาอำมาตย์ออกต้อนรับโดยดี เชิญขุนเมงรายเสวยพระกระยาหารและเลี้ยงกองทัพให้อิ่ม ขุนเม็งรายจึงเลิกการทำสงคราม แต่นั้นมาพ่อขุนงำเมืองจึงยกเมืองปลายแดน ซึ่งมีเมืองพาน เมืองเชี่ยงเคี่ยน เมืองเทิง และเมืองเชียงของ ให้แก่พระเจ้าเมงราย และทำสัญญาปฏิญาณต่อกันจะเป็นมิตรต่อกันตลอดไป ฝ่ายพระยาร่วงซึ่งเป็นสหายคนสนิทก็ได้ถือโอกาสเยี่ยมพ่อขุนงำเมืองปีละ ครั้ง ส่วนใหญ่เสด็จในฤดูเทศกาลสงกรานต์ได้มีโอกาสรู้จักขุนเม็งรายทั้ง องค์ ได้ชอบพอเป็นสหายกันเคยหันหลังเข้าพิงกันกระทำสัจจปฏิญาณแก่กัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำขุนภู ว่าจะไม่ผูกเวรแก่กัน จะเป็นมิตรสหายกัน กรีดโลหิตออกรวมกันขันผสมน้ำ ทรงดื่มพร้อมกัน (ภายหลังแม่น้ำนี้ได้ชื่อว่า แม่น้ำอิง)
                ระหว่างครองราชย์ในเมืองพะเยา พ่อขุนงำเมือง เป็นผู้ทรงอุปฐากพระธาตุจอมทองซึ่งตั้งอยู่บนดอยจอมทอง ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพะเยา ที่ประชาชนสักการะบูชามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
                เมื่อพ่อขุนงำเมืองสิ้นพระชนม์ลง โอรสคือ ขุนคำแดง สืบราชสมบัติแทนเมื่อปีพุทธศักราช 1816 ขุนคำแดงมีโอรสชื่อ ขุนคำลือ ซึ่งครองราชสมบัติแทนต่อมา ในสมัยนั้น พระยาคำฟู ผู้ครองนครชัยบุรีศรีเชียงแสนชวน พระกาวเมือง เมืองน่านยกทัพตีเมืองพะเยา แต่พระยาคำฟูตีได้ก่อนเกิดขัดใจกันสู้รบกันขึ้น พระยาคำฟูเสียทีก็เลยยกทัพกลับเชียงแสน กองทัพพระยากาวเมืองน่านติดตามไป ยกทัพเลยไปตีถึงเมืองฝางได้ แต่ถูกทัพของพระยาคำฟูตีถอยล่นกลับเมืองน่าน เมืองพะเยาในสมัยนั้นอ่อนแอมากจึงได้รวมอยู่กับอาณาจักรลานนา
                พุทธศักราช 1949 พระเจ้าไสลือไทยยกกองทัพหมายตีเมืองเชียงใหม่และผ่านเขตเมืองพะเยา หมายตี เอาเมืองพะเยาด้วย แต่ไม่สำเร็จ

2. สมัยกรุงศรีอยุธยา
                สมัยพระเจ้าติโลกราชครองอาณาจักรลานนาไทย (พุทธศักราช 1985-2025) แผ่อำนาจลงไปทางใต้ปราบปรามเมืองสองแคว เมืองเชลียง เมืองสุโขทัยตลอดถึงเมืองกำแพงเพชร อยู่ในอำนาจต่อมาในปีพุทธศักราช 1994 - 2030 พระยายุทิศเจียงเจ้าเมืองสองแควซึ่งสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชได้มาครองเมืองพะเยา ทรงสร้างพระเจดีย์วัดพระยาร่วง (วัดบุญนาค) ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า หลวงพ่อนาค” ทรงก่อสร้างวิหารวัดป่าแดง หลวงพ่อดอนชัย และอัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทร์แดงจากวัดปทุมมาราม (หนองบัว) มาประดิษฐานไว้ด้วย ต่อมาพระเจ้าติโลกราชสั่งให้นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดอโศการาม (วัดป่าแดงหลวง) เชียงใหม่ นอกนั้นพระยายุทิศเจียงยังเอาช่างปั้นถ้วยชาม เครื่องสังคโลก อันเป็นศิลปของกรุงสุโขทัย ไปเผยแพร่การปั้นถ้วยชามสังคโลกด้วย ตั้งแต่นั้นมาเมืองภูกามยาวก็รวมอยู่กับอาณาจักรลานนาไทยมาโดยตลอด
                จากหลักฐานศิลาจารึกต่างๆ ปรากฏว่าเมื่อปีพุทธศักราช 2034 พระยาเมืองยี่ครองเมืองพะยา พระยอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่ กับตายายสองผัวเมียสร้างพระเจ้าตนหลวงเริ่มสร้างได้ วัน พระยาเมืองยี่ถึงแก่พิราลัยต่อมาพระยอดเชียงรายก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน
                พุทธศักราช 2039 พระเมืองแก้วราชโอรสพระยอดเชียงรายขึ้นครองเมืองเชียงใหม่พระยาหัวเคี่ยนครองเมืองพะเยา ได้ 21 ปีก็สิ้นพระชนม์
                พุทธศักราช 2067 สร้างพระเจ้าตนหลวงเสร็จ รวมเวลาก่อสร้าง 33 ปี
                พุทธศักราช 2111 พระเจ้าหงสาวดีเกณฑ์กองทัพพม่า ไทยใหญ่ ลื้อ มอญ ลานนาไทย ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อตีได้แล้วให้พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองสองแคว ไปครองกรุงศรีอยุธยา
                พุทธศักราช 2115 พระเจ้ากรุงหงสาวดี ได้ยกทัพตีเมืองหนองหาญ อาณาจักรลานช้างและลานนาไทยได้กวาดต้อนผู้คนไปด้วย ต่อมา พระเจ้ามังตรา (บุเรงนอง) สวรรคตและปีพุทธศักราช 2141 ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปกรุงหงสาวดีก็หนีกลับมาเชียงใหม่

3. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
                พุทธศักราช 2330 เจ้าเมืองอังวะสั่งให้หวุ่นยีมหาไชยสุระยกทัพมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ผ่านฝาง เชียงราย เชียงแสน และพะเยาด้วย ผู้คนกลัวแตกตื่นอพยพไปอยู่ลำปางทำให้เมืองพะเยาร้างไปเป็นเวลาถึง 56 ปี
                พุทธศักราช 2386 พระยานครลำปางน้อยอินทร์กับพระยาอุปราชมหาวงศ์เมืองเชียงใหม่ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลขอตั้งเมืองเชียงรายเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ และตั้งเมืองงาว เมืองพะเยาเป็นเมืองขึ้นของนครลำปาง ต่อมาพระองค์ทรงโปรกเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายพุทธวงศ์ น้องคนที่ ของพระยานครอินทร์เป็นพระยาประเทศอุดรทิศ ผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งนายน้อย มหายศ และตั้งนายแก้ว มานุตตม์ น้องคนที่และ เป็นพระยาอุปราชเมืองพะเยา และพระยาราชวงศ์เมืองพะเยาตามลำดับ ตั้งนายขัติยะ บุตรพระยาประเทศอุดรทิศเป็นพระยาเมืองแก้ว และตั้งนายน้อย ขัติยะ บุตรราชวงศ์หมู่ส่าเป็นพระยาราชบุตรเมืองพะเยา ผู้ครองเมืองพะเยาทุกคนจึงได้รับพระราชทานนามว่า พระยาประเทศอุดรทิศ” แต่ประชาชนมักจะเรียกตามนามเดิม เช่นเจ้าหลวงวงศ์
                ปีพุทธศักราช 2391 พระยาอุปราช (น้อย มหายศ) รับสัญญาบัตรขึ้นครองเมืองพะเยา จนถึงจุลศักราช1217 ( พุทธศักราช 2398) ก็ถึงอนิจกรรม
                พุทธศักราช 2398 พระยาราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าบุรีรัตนะหรือเจ้าแก้ว ขัติยะ) ได้รับสัญญาบัตรเป็นเจ้าเมืองพะเยา ครองเมืองได้ ปี ก็ถึงอนิจกรรม
                พุทธศักราช 2403 เจ้าหอหน้าอินทะชมภู รับสัญญาบัตรเป็นผู้ครองเมืองพะเยาได้ 11 ปี ก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อปีพุทธศักราช 2413
                พุทธศักราช 2418 เจ้าหลวงอริยะเป็นเจ้าเมืองพะเยาถึงปีพุทธศักราช 2437 ถึงแก่อนิจกรรม เจ้าไชยวงศ์เป็นผู้ครองเมืองพะเยาต่อมาถึง ปี
                พุทธศักราช 2445 เกิดจราจลขึ้นทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ โจรผู้ลี้ภัยเงี้ยวเข้ายึดเมืองพะเยา ปล้นเอาทรัพย์สินทางราชการ ประชาชนวัดวาอารามไป คนแตกตื่นหนีไปลำปาง ได้ยกกำลังตำรวจทหารจากลำปางมาปราบ รบกันอยู่ที่บริเวณบ้านแม่กา เงี้ยวล้มตายเป็นจำนวนมาก ตำรวจ เจ้านาย กรรมการบ้านเมืองได้เกณฑ์ผู้คนก่อสร้างเสริมกำแพงเมืองให้มั่นคงมากขึ้น เมืองพะเยาในสมัยนั้นมีฐานะเป็นจังหวัด เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา หลวงศรีสมรรตการเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด เจ้าอุปราชมหาชัยศีติสารตำแหน่งข้าหลวงผู้ช่วยหรือปลัดจังหวัด
                พุทธศักราช 2448 เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) ถึงแก่พิราลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบบริเวณจังหวัดพะเยาเป็นแขวงพะเยา ให้ย้ายหลวงศรีสมรรตการ ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาไปรับตำแหน่งจังหวัดอื่น และโปรดเกล้าฯ ให้อุปราชมหาชัย ศีติสารรักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยา
                พุทธศักราช 2449 เจ้าอุปราช ศีติสารได้รับสัญญาบัตรเป็นพระยาประเทศอุดรทิต ดำรงตำแหน่งผู้ครองเมืองพะเยาองค์สุดท้าย การปกครองแผ่นดินสมัยนั้นมีการบริหารงานเป็นกระทรวง มณฑล จังหวัด อำเภอ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า มณฑลพายัพ ผู้บริหารระดับกระทรวงเรียกว่า เสนาบดี ผู้บริหารระดับมณฑลเรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้บริหารระดับจังหวัดเรียกว่า ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้บริหารระดับอำเภอเรียกว่า เจ้าเมืองบ้างหรือนายอำเภอบ้าง
                พุทธศักราช 2457 ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองใช้ตำแหน่งนายอำเภอแทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงแต่งตั้งนายกลาย บุษบรรณ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา และได้รับแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์เป็นรองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์ เป็นนายอำเภอคนแรกมุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร จัดการศึกษา การอาชีพ และบำรุงพุทธศาสนาจนพุทธศักราช 2465 ย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน
                พุทธศักราช 2466 – 2469 พระแสน สิทธิเขต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีเหตุการณ์สำคัญคือ เกิดเพลิงไหม้ที่ว่าการอำเภอ และสร้างหลังใหม่คือหลังปัจจุบัน
                พุทธศักราช 2470 -2471 หลวงประดิษฐอุดมการ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา เหตุการณ์บ้านเมืองปกติ
                พุทธศักราช 2472 -2476 พระบริภัณฑธุรราษฎรเป็นนายอำเภอ เมื่อปีพุทธศักราช 2475 เกิดการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเหตุการณ์ด้านภาคพายัพปกติ ประชาชนยังคงอยู่กันด้วยความสงบสุข
                พุทธศักราช 2477 – 2478 นายผล แผลงศร เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา สนใจทำนุบำรุงด้านการศาสนาเป็นพิเศษ ละเอียด สุขุม นิ่มนวลเข้ากับประชาชนได้ดีมีส่วนริเริ่มปรับปรุงกว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำบำรุงพันธ์ปลา ร่วมกับกรมเกษตรการประมง
                พุทธศักราช 2478 – 2480 พระศุภการกำจรเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา เริ่มสำรวจกว๊านพะเยารวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการพัฒนาก๊วานพะเยา ตามวัตถุประสงค์ของกรมเกษตรการประมง
                พุทธศักราช 2480 นายอุ่นเรือน ฟองศรี ศึกษาธิการอำเภอเมืองพะเยาสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาขึ้น โรงเรียนแรกคือ โรงเรียนพะเยาพิทยาคม
                พุทธศักราช 2480 ขุนนาควรรณวิโจรน์ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยาได้ขอตั้งเทศบาลเทศบาลเมืองพะเยาขึ้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2480
                พุทธศักราช 2481 นายสุจิตต์ สมบัติศิริเป็นนายอำเภอพะเยา เริ่มลงมือก่อสร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยา
                พุทธศักราช 2482 –2483 นายผล แผลงศรกลับมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาอีกครั้งหนึ่ง สร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยาได้เสร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2482 สร้างที่ทำการของสถานีประมง ริเริ่มจัดหาทุนสร้างโรงพยาบาลเมืองพะเยา
                พุทธศักราช 2484 นายสนิท จูทะรพดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาเป็นช่วงอยู่ในภาวะสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยจำใจเข้าร่วมสัมพันธไมตรี กับประเทศญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ได้มีการระดมกำลังทหารไปตรึงชายแดนภาคเหนือ ไว้เป็นจำนวนมาก จังหวัดพะเยาในเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยทหาร                พุทธศักราช 2485 – 2486 นายทองสุข ชุมวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา สงครามเริ่มรุนแรงขึ้น ข้าศึกโจมตีทาง อากาศ ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนเสียหายมากผู้คนล้มตายและเกิดโรคระบาด คือ มาเลเรีย ซึ่งเกิดจากทหารติดเชื้อมาจากเชียงตุง ผู้คนล้มตายกันมาก มีการลักขโมยปล้นฆ่ากันบ่อยครั้ง เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบประชาชนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน
                พุทธศักราช 2486 – 2490 นายฉลอง ระมิตานนท์ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา ประสานงานกับฝ่ายทหาร ตำรวจปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ดี สามารคลี่คลายสถานการณ์ได้จนสงครามสงบก็หันมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมอาชีพของราษฎร
                พุทธศักราช 2490 – 2496 นายผลิ ศรุตานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเหตุการณ์สู่ภาวะปกติ เริ่มฟื้นฟูทางด้านวัตถุและจิตใจของประชาชน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2494 อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองค์พระเจดีย์วัดป่าแดงหลวงดอนไชย ระหว่างเดือนกันยายน 2495 ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎร ถนนขาดเป็นตอนๆ การคมนาคมทางบนถูกตัดขาด เป็นผู้ริเริ่มกันที่ดินเพื่อสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ เช่น ที่ดิน โรงพยาบาล ศาลกลางจังหวัดและศูนย์ราชการมีพื้นที่ประมาณ 170 ไร่
                พุทธศักราช 2496 – 2497 ขุนจิตต์ ธุรารักษ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเร่งปราบปรามโจรผู้ร้าย การเล่นการพนันและส่งเสริมอาชีพ
                พุทธศักราช 2497 - 2500 นายวิฑิต โภคะกุล ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีนโยบายเร่งรัดพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรม ทำการบูรณะถนนหนทางขุดลำเหมืองส่งน้ำจากกว๊านพะเยา สร้างโรงพยาบาลพะเยา และได้ยกฐานะเป็นนายอำเภอชั้นเอก
                พุทธศักราช 2501 - 2502 นายวรจันทร์ อินทกฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เร่งรัดปรับปรุงถนนหนทาง ปราบปรามอันธพาล ร่วมริเริ่มก่อตั้งการประปาพะเยา ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อวันที่ มิถุนายน 2501 อยู่ไม่นานก็ย้ายไปดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดสระบุรี ต่อมานายสวัสดิ์ อรรถศิริ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาแทนไม่นานก็ย้ายไป
                พุทธศักราช 2502 - 2504 นายศิริ เพชรโรจน์ มาดำรงตำแหน่งแทนได้ปรับปรุงการทำงานของข้าราชการให้รัดกุม มุ่งการพัฒนาท้องถิ่นถนนหนทางสายต่างๆ แนะนำกำนันผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลให้รู้จักการทำงานและมีความขยันหมั่นเพียร และมีการพิจารณาให้รางวัลความดีความชอบ
                พุทธศักราช 2504 - 2511 นายจรูญ ธนะสังข์ ย้ายมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา ซึ่งในปีพุทธศักราช2504 เกิดเพลิงไหม้ตลาดเมืองพะเยา ค่าเสียหายประมาณ ล้านบาทเศษ
                พุทธศักราช 2512 - 2513 นายทวี บำรุงพงษ์ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาในระยะนั้นได้มีมีการก่อตั้งแขวงการทางพะเยาขึ้น และเปิดสำนักงานเป็นทางการเมื่อวันที่ เมษายน 2513
                พุทธศักราช 2514-2517 นายชื่น บุณย์จันทรานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเมื่อเดือนสิงหาคม2516 เกิดพายุฝน ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรเสียหายมาก
                พุทธศักราช 2517- 2520 นายประมณฑ์ วสุวัต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา
                พุทธศักราช 2520 นายจรัส ฤทธิ์อุดม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา
                จากเมืองประวัติศาสตร์ที่มีเอกราชมาช้านาน และกลายเป็นแคว้นหนึ่งอยู่ในอาณาจักรลานนาไทย และเปลี่ยนฐานะมาเป็นจังหวัดหนึ่งขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพมีเจ้าผู้ครองนครและถูกยุบมาเป็นอำเภอหนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงที่เป็นอำเภอพะเยา (พุทธศักราช 2457-2520) ได้ 63 ปี มีนายอำเภอดำรงตำแหน่งถึง 25 นาย จนเมื่อวันที่ 28สิงหาคม 2520 ได้รับยกฐานะจากอำเภอพะเยาขึ้นเป็นจังหวัดพะเยามาตราบเท่าทุกวันนี้

กว๊านพะเยาจังหวัดพะเยา


กว๊านพะเยาจังหวัดพะเยา


ท่องเที่ยวทั่วไทย
กว๊านพะเยา  กว๊าน หมายถึง หนองน้ำหรือบึงน้ำขนาดใหญ่ คำนี้มีใช้ในท้องถิ่นล้านนาเฉพาะที่จังหวัดพะเยาแห่งเดียวเท่านั้นกว๊านพะเยา เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ รูปพระจันทร์เสี้ยวเกือบครึ่งวงกลม แหว่งทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ ๗๐ ล้านปีมาแล้ว โอบล้อมดอยแม่ใจซึ่งเป็นภูเขาสูงยาว  เป็นแอ่งน้ำที่รวบรวมของลำห้วยต่างๆ ๑๘ สาย ต่อมาในปี ๒๔๗๘ กรมประมงได้ตั้งสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยาขึ้นบริเวณต้นแม่น้ำอิงและสร้างฝายกั้นน้ำทำให้เกิดเป็นบึงขนาดใหญ่ มีความลึกเฉลี่ย ๑.๕ เมตร กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพะเยา  เป็นทั้งแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน  และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ประมาณ ๑๒,๘๓๑ ไร่   เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลากราย ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาจีน ปลาไน รวมทั้งปลานิล อันลือชื่อของจังหวัดพะเยา   ทัศนียภาพโดยรอบกว๊านพะเยา  มีความร่มรื่น  สามารถมองเห็นแนวทิวเขาสลับซับซ้อน งดงามมาก บริเวณริมกว๊านมีร้านอาหารและจัดเป็นสวนสาธารณะเหมาะที่จะไปนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจในยามเย็น ชมพระอาทิตย์ตกริมกว๊านเป็นภาพที่สวยงามมาก และมีบริการนั่งเรือพายชมทัศนียภาพในกว๊านพะเยา ค่าโดยสารเรือพายคนละ 20 บาท และมีการจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อศิลา อายุกว่า 500 ปี ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย

ความเป็นมาของอาเซียน


ความเป็นมาของอาเซียน


ความเป็นมาของอาเซียน
          สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฎิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ สิงหาคม 2510 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งมี ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่งมีผู้แทนทั้ง ประเทศ ประกอบด้วย นายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย) ตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาเลเซีย) นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์) นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์) และพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีต่างประเทศไทย) ในเวลาต่อมา ได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติมได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม (เป็นสมาชิกเมื่อ มกราคม 2527) เวียดนาม (วันที่ 28 กรกฎาคม 2538) ลาว พม่า (วันที่ 23กรกฎาคม 2540) และกัมพูชา (เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542) ตามลำดับ จากการรับกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก ทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
          อาเซียนต่อก่อตั้งเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่าประเทศ
          นโยบายการดำเนินงานของอาเซียนจะเป็นผลจากการประชุมหารือในระดับหัวหน้ารัฐบาล ระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมสุดยอด (ASEAN Summit) หรือ การประชุมของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นการประชุมระดับสูงสุดเพื่อกำหนดแนวนโยบายในภาพรวม และเป็นโอกาสที่ประเทศสมาชิกจะได้ร่วมกันประกาศเป้าหมายและแผนงานของอาเซียนในระยะยาวซึ่งจะปรากฏเป็นเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) แถลงการณ์รวม (Joint Declaration) ปฏิญญา (Declaration) ความตกลง (Agreement) หรือ อนุสัญญา (Convention)ส่วนการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสจะเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาทั้งนโยบายในภาพรวมและนโยบายเฉพาะด้าน
          ด้านการเมืองและความมั่นคง อาเซียนได้จัดทำปฏิญญากำหนดให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตสันติภาพ เสรีภาพความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality-TAC) ในปี 2519 และจัดทำสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asian Nuclear Weapon-Free Zone-SEANWFZ)ในปี 2538 รวมทั้งได้ริเริ่มการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum-ARF) ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 2537
          ด้านเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area-AFTA) ในปี 2535 เพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกัน เพื่อช่วยส่งเสริมการค้าภายในอาเซียนให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น ลดต้นทุนการผลิตสินค้า และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ กับทั้งได้ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อให้การรวมตัวทางเศรษฐกิจสมบรูณ์แบบและมีทิศทางชัดเจน ด้วยการจัดตั้งเขตลงทุนอาเซียน (ASEAN Investment Area-AIA)
          ด้านสังคม อาเซียนมีความร่วมมือเฉพาะด้าน เพื่อให้ประชาชนมีความสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานในกรอบอาเซียนประกอบด้วย
สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ที่กรุงการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียน เป็นศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างประเทศสมาชิก โดยมีเลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of ASEAN) เป็นหัวหน้าสำนักงาน ที่ผ่านมาผู้แทนจากประเทศไทยดำรง ตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนแล้ว ท่าน คือ ฯพณฯ นายแผน วรรณเมธี ระหว่างปี 2527 – 2529 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ระหว่างปี 2551 – 2555
สำนักงานเลขาธิการแห่งชาติ หรือ ASEAN National Secretariat เป็นหน่วยงานระดับกรมในกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน มีหน้าที่ประสานกิจการอาเซียนและติดตามผลการดำเนินงนในประเทศนั้น
สำหรับประเทศไทยหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน (Committee of Permanent Representatives-CPR) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากประเทศสมาชิก มีภารกิจในการสนับสนุนการทำงานของคณะมนตรีประชาคมอาเซียนและองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา รวมทั้งประสานงานกับสำนักเลขาธิการอาเซียนและสำนักเลขาธิการอาเซียนแห่งชาติ ตลอดจนดูแลความร่วมมือของอาเซียนกับหุ้นส่วนภายนอก
          ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศสมาชิกเห็นพ้องต้องกันที่จะให้ความสำคัญของการมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพในการร่วมมือกันปัญหาและความท้าท้าย ตลอดจนเพื่อความสร้างความแข็งแกร่งและอำนาจต่อรองให้แก่ประเทศสมาชิกผู้นำอาเซียนได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Ball Concord II) เพื่อประกาศจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) โดยสนับสนุนการรวมตัวและความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยในด้านการเมืองให้จัดตั้ง "ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน” หรือ ASEAN Political-Security Community (APSC) ด้านเศรษฐกิจให้จัดตั้ง "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ ASEAN Economic Community (AEC) และด้านสังคมและวัฒนธรรมให้จัดตั้ง "ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” หรือ ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) ซึ่งต่อมา ผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ปี คือภายในปี 2558 (ค.ศ. 2015) โดยเล็งเห็นว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาเซียนจะเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถคงบทบาทนำในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาคและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

การแต่งกายของชาวเขาในประเทศไทย


การแต่งกายของชาวเขาในประเทศไทย


เผ่าม้ง 
ผู้หญิง  ใส่ กระโปรง ทอด้วยป่านใยกัญชง (ต้นคล้ายกัญชา แต่ดอกและใบใช้สูบไม่ได้) การทำกระโปรงของหญิงม้ง โดยการใช้เล็บสะกิดใยกัญชงออกเป็นเส้น แล้วฝั่นต่อกันเป็นม้วนใหญ่ นำไปฟอกด้วยน้ำด่างขี้เถ้า จะได้ด้ายสีขาวอมเหลือง นำไปทอเป็นผ้ามีผิวสัมผัสหยาบหนา แต่นุ่มเป็นมัน มีความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร นำไปเขียนด้วยขี้ผึ้ง เป็นลวดลายเรขาคณิต นำไปย้อมสีน้ำเงินอมดำ แล้วนำไปต้มให้ขี้ผึ้งละลาย เป็นการทำบาติกแบบโบราณนำผ้าที่ย้อม แล้วมาพับเป็นพลีทเล็ก ๆ แล้วใช้ไม้กดทับไว้ให้จีบอยู่ตัว แล้วใช้ด้ายร้อยระหว่างจีบจากด้านหนึ่ง ไปยังด้านหนึ่งเป็นเอวของกระโปรง ใช้ผ้าขาวต่อเป็นเอว ใช้ผ้าสีต่าง ๆ กุ๊นตกแต่งกระโปรง และ ปักด้วยด้ายสีต่าง ๆ 

เสื้อเอวเกือบจะลอย แขนยาว มีปกเสื้อด้านหลัง ผ่าหน้า หรือทับไปทางซ้ายทำด้วยผ้าสี ดำ มีตกแต่งลวดลาย ผ้าคาดเอวสีดำมีพู่แดงเป็นชายครุย มีสนับแข็งสีดำ ผมขมวดเป็นมวย ใส่ หมวดผ้าหรือโพกผ้าสีดำ ใส่ต่างหูเงิน ห่วงคอทำด้วยเงิน 3-4 วงซ้อนกัน ด้านหลังเสื้อตกแต่ง ด้วยเหรียญเงินเก่า 


ผู้ชาย นุ่งกางเกงดำเป้าต่ำ เสื้อดำแขนยาว เอวลอย (มีเสื้อข้างในสีขาว) ผ้าคาดเอวสี แดง คาดทับด้วยเข็มขัดเงิน ห่วงเงินคล้องคอ 1 ห่วง หมวกผ้าดำมีจุกแดงตรงกลาง

แม้ว เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่อยู่ในประเทศจีนซึ่งชอบอพยพโยกย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ แม้ว เป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป ซึ่งเพียนมาจากคำว่า “เมี้ยว” ชาวเขาเผ่าแม้วจะเรียกตัวเองในหมู่พวก เดียวกันว่า “ม้ง” ม้งแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ 
1. ม้งขาว
2. ม้งเขียว
3. ม้งดำ 


ม้งขาว
หญิง
 สวมกระโปรงผ้าป่านดิบยาวลงมาถึงหัวเข่า มีผ้าพันหน้าแข้งตั้งแต่ข้อเท้ถึงหัวเข่า แต่ปัจจุบันนีหันมาใส่กางเกงสีดำกว้าง ๆ แบบจีน คาดเอวด้วยผ้าสีแดง ปล่อยชายผ้าสี่เหลี่ยมทิ้ง ยาวลงมาด้านหน้าและด้านหลัง คอปกเสื้อกว้างแบบทหารเรือ โพกหัวด้วยผ้าสีคราม หรือสีดำ 


ชาย นุ่งกางเกงดำกว้าง ๆ เป้าหย่อนลงมาไม่มากนัก สวมเสื้อป้ายอกมีผ้าคาดเอว

ม้งเขียว
หญิง
 ยังสวมกระโปรงสีฟ้าแก่ ประดับลายภาพวาดด้วยขี้ผึ้งและมีปักลวดลายใน ส่วนล่างของกระโปรง มีผ้าคาดเอวสีแดง ผ้าห้อยลงมาสีดำ เสื้อเป็นสีต่าง ๆ คอปกเสื้อเล็ก กว่าม้งขาว 4 นิ้ว ขอบปกเป็นรูปโค้ง ไม่มีผ้าโพกหัว แต่มีผ้าถักบาง ๆ แถบเป็นลายดอกไม้สีแดง พันรอบมวยผม 


ชาย ใส่กางเกงดำเหมือนม้งขาว แต่เป้ากางเกงหย่อนลงมาจนเกือบถึงพื้น ดินแบบ อาหรับ ปลายขารัดที่ข้อเท้า สวมหมวกทำด้วยผ้าแพรต่วน ไม่มีขอบ



ส่วนม้งดำนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีในประเทศไทย ในลาวจะมีน้อยมาก เพราะเป็นการยากที่ จะแยกว่าเป็นม้งดำ เพราะจะรับทั้งแบบการแต่งกายและภาษาจากม้งขาวและเขียวไว้ ส่วนมาก จะเรียกตามสีของเสื้อผ้าที่สวมใส่




แหล่งอ้างอิง  http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume/06_1.html

10อันดับคนรวยที่สุดในโลก


10อันดับคนรวยที่สุดในโลก

1. คาร์ลอส สลิม เฮลู และครอบครัว
เจ้า ของธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของบราซิล มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท)
2. บิล เกตส์ หรือ วิลเลี่ยม แฮร์รี่ "บิล" เกตส์ ที่ 3
เจ้า ของบริษัทไมโครซอฟต์ บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ชื่อดังของโลก มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท)
3. วอร์เรน บัฟเฟต์ซี อีโอและผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัททางด้านการลงทุนอันดับต้น ๆ ของอเมริกา มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)
4. เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ผู้ ก่อตั้งและประธานกรรมการบริษัท LVMH ชาวฝรั่งเศส ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง, ดิออร์, เฟนดิ, จีวองชี่, เคนโซ่, มาร์ค จาค็อบ, บุลการี่ และยังมีธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหลายแบรนด์ ที่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา เช่น เฮนเนสซี่ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)
5. แลร์รี่ เอลลิสัน หรือ ลอว์เรนซ์ โจเซฟ เอลลิสันผู้ ร่วมก่อตั้งบริษัทออร์ราเคิล คอร์เปอเรชั่น ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับโลกอีกรายหนึ่ง มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.198 ล้านล้านบาท)
6. ลักษมี มิทตาลมหา เศรษฐีชาวอินเดีย เจ้าของธุรกิจเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.43 แสนล้านบาท)
7. อามันซิโอ ออร์เตก้าเจ้า ของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง "ซาร่า" ชาวสเปน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.10 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท)
8. ไอค์ บาติสต้านัก ธุรกิจชาวบราซิล เจ้าของธุรกิจเหมืองแร่และน้ำมัน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.09 แสนล้านบาท)
9. มูเกช อัมบานีเจ้า ของธุรกิจปิโตรเคมีและน้่ำมันชาวอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.18 แสนล้านบาท)
10. คริสตี้ วอลตัน และครอบครัวหนึ่ง ในผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของวอลมาร์ท มินิมาร์ทชื่อดังของอเมริกา เป็นลูกสะใภ้คนเก่งของ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้ง วอลมาร์ท มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.03 แสนล้านบาท)

ที่มา http://board.postjung.com/

7 ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่(เรา) อยากบอก


7 ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่(เรา) อยากบอก

1. ความยาวของนิ้วมือ
จาก ผลการวิจัยของอังกฤษ พบว่าคุณสุภาพสตรีท่านใดที่มีความยาวของนิ้วชี้น้อยกว่านิ้วนางหล่ะก็ นั่นแสดงว่า คุณมีโอกาสตกอยู่ในภาวะโรคข้อกระดูกเสื่อมที่หัวเข่ามากกว่าคนที่ีนิ้วชี้ ยาวกว่านิ้วนางถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่า สำหรับผู้ชายที่มีนิ้วชี้สั้นกว่านิ้วนาง แสดงว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับต่ำ ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคไขข้อกระดูกอักเสบ

ข้อแนะนำ พยายามทำให้กล้ามเนื้อรอบๆหัวเข่าของคุณแข็งแรงขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ก็ให้พยายามยืดขาของคุณแต่ละข้างให้ตรงในแนวที่ขนานกับพื้น ประมาณ 10 ครั้ง และหดขาเข้ามาประมาณ 5-10 วินาที

2.ความยาวของขา

ถ้า ขาทั้ง 2 ข้างของคุณมีลักษณะสั้นม้อต้อ คำเตือนคือ คุณต้องหมั่นดูแลรักษาตับของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ผู้หญิงที่มีความยาวของขาระหว่าง 20-29 นิ้ว มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราของเอนไซม์ 4 ตัวที่สูงเกินไปจนอสจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ นักวิจัยยังระบุอีกว่า ปัจจัยเรื่องของอาหารการกินในวัยเด็กนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังทรงผลถึงพัฒนาการของตับในตอนโตอีกด้วย

ข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงกระบวนการที่จะส่งสารพิษไปยังตับของคุณ เพราะนั่นจะช่วยทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีและยืดอายุการทำงานของมัน และคุณไม่ควรลืมสวมถุงมือหรือหน้ากากทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารอันตราย หรือสารเคมี ที่สำคัญต้องจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกฮอล์ต่อวันด้วย

3.สัญชาตญาณในการดมกลิ่น
จาก ผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ไม่่ว่าจะเป็นคนแก่หรือวัยรุ่นที่ไม่สามารถระบุกลิ่นของ กล้วย มะนาวชินนามอน(อมเชย) หรือกลิ่นของสิ่งอื่นๆได้ แน่นอนว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันภายใน 4 ปีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นส่วนที่แรกที่จะส่งผล ต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 2-7 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เห็น

4.ความยาวของแขน
ผล การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่า สำหรับผู้หญิงที่มีแขนค่อนข้างสั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่มีท่อนแขนยาว ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถทดสอบได้โดยการกางแขนของคุณขนานไปกับพื้นแล้ววัดความ ยาว หากน้อยกว่า 60 นิ้วถือว่ามีความยาวของแขนค่อนข้างน้อย

ข้อแนะนำ พยายามทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอะไรที่ต้องใช้การยืดแขนของคุณ เช่น การฝาดภาพ ทำงานปั้น เป็นต้น จากผลการศึกษากว่า 5 ปี ของศูนย์อัลไซเมอร์ มหาวิทยาลัยศุนย์การแพทย์รัช พบว่า วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน หรือสมอง มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย 2.5 เท่า

5.รอยพับหรือรอยย่นที่ใบหูส่วนล่าง
ลักษณะ รอยย่นที่เป็นเส้นตรงที่ปรากฏบนใบหูไม่ว่าข้างเดียวหรือสองข้าง สามารทำนายอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งหากเป็นรอยพับที่หูข้างเดียว นั่นแสดงว่าคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 33%แต่ถ้าเป็นทั้งสองข้างนั่นแสดงคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 77% อย่างไรก็ตามแม้ลักษณะดังกล่าวจะไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยอาการดังกล่าวที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาด ไฟเบอร์ที่ช่วยด้านความยืดหยุ่น

ข้อแนะนำ พยายามช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรงด้วยการควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสมำ่เสมอ เพื่อลดคอลเรสเตอร์รอลและความดันในเลือด

6.ขนาดกางเกงยีนส์จากรายงาน ด้านประสาทวิทยา พบว่าวัยรุ่นที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิต หรือโรคจิตเสื่อม เพราะจากการศึกษาพบว่าในคนที่มีพุงหรือหน้าท้องใหญ่ เท่ากับว่าพวกเขามีไขมันที่เป้นอันตรายอยู่ใต้ผิวหนัง และเกาะอยู่ตามระบบอวัยวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมระบบของความรู้สึกนึกคิด

ข้อแนะนำ ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น หันมาเลือกทานพวกน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดอโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อป้องกันไขมันที่เป็นอันตราย

7.ขนาดของหน้าอก
จาก ผลการศึกษาของฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดเล็กขนาด 13นิ้วหรือน้อยกว่า มีแนวโน้มจะเกิดคราบหรือตัวสกัดกั้นเส้นเลือดสำคัญบริเวณลำคอ อันจะก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน นักวิจัยบอกว่า ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่จะมีมากกว่าคนที่หน้าอกเล็ก ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่ดึงไขมันตามเส้นเลือดและเก็บมันไว้ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว


แหล่งอ้างอิง

อันตรายจากผลไม้ดอง


อันตรายจากผลไม้ดอง





     หลายคนชอบทานของหมักดองเป็นที่สุด ทั้งมะม่วง มะยม และผลไม้ดองชนิดอื่นๆ ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป แต่เจ้าผลไม้ดองเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีอันตราย

    เพราะขัณฑสกร หรือแซคคารีน อาจจะเรียกง่ายๆ ว่าดีน้ำตาลก็ได้ เป็นสารที่ช่วยเพิ่มความหวาน ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า และที่สำคัญราคาก็แสนที่จะถูกกว่าน้ำตาลทั่วไป บรรดาพ่อค้าแม่ขายจึงนิยมนำมาใส่ในผลไม้ อันตรายของขัณฑสกรคือเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ หากสารนี้เข้าไปในร่างกายมากๆ ทำให้หลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยประกาศห้ามใช้สารตัวนี้


http://women.thaiza.com/detail_165671.html : อ้างอิง

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก


10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก


10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
1. เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton)
 
          แน่นอนว่าในบรรดานักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ จะขาดนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษอย่าง เซอร์ไอแซก นิวตัน ไม่ได้เด็ดขาด โดย เซอร์ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ปี 1642 และเสียชีวิตลงขณะอายุ 46 ปี ในวันที่ 20 มีนาคม ปี 1727 (ตามปฏิทินจูเลี่ยนของ จูเลียส ซีซาร์) ซึ่งเขาเป็นอัจฉริยะที่เก่งรอบด้านทั้งในฐานะนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักปรัชญา นักเล่นแร่แปรธาตุ และนักเทววิทยา โดยผลงานเด่นที่สุดของเขาที่คนรู้จักกันดีที่สุดก็คือ กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและกฎแรงโน้มถ่วงสากล ที่เขาคิดขึ้นมาได้จากการสังเกตผลแอปเปิ้ลที่ตกจากต้นนั่นเอง

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
2. หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) 
 
          หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นนักเคมีและนักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ปี 1822 และเสียชีวิตลงในวัย 72 ปี เมื่อวันที่ 28 กันยายน ปี 1895 ซึ่งเขาคนนี้ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยชีวิตผู้คนมากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นผู้คิดค้นวิธีรักษาโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคพิษสุนัขบ้าและโรคแอนแทร็คซ์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น จากการคิดค้นวิธีพาสเจอร์ไรซ์ เพื่อฆ่าเชื้อโรคและถนอมอาหารให้เก็บได้นานขึ้นอีกด้วย

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
3. กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)
 
          นักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของฉายา "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่" คนนี้ เกิดที่ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี 1564 และมีชีวิตอยู่จนอายุ 77 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 1642 โดยเขาเป็นผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแนวคิดของวิทยาศาสตร์ยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง ด้วยการยึดมั่นในทฤษฎีของตัวเองว่าดาวเคราะห์เป็นฝ่ายหมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งขัดกับความเชื่อของชาวคริสต์ในสมัยก่อนที่สนับสนุนทฤษฎีของอริสโตเติลที่เชื่อว่าพระอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นฝ่ายหมุนรอบโลก จนทำให้เขาถูกห้ามไม่ให้สอนนักเรียนของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อีก มิฉะนั้นจะถูกจับเผาทั้งเป็น เขาจึงได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อศึกษาเพิ่มเติมและพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขาเป็นความจริงในที่สุด

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
4. มารี กูรี (Marie Curie)
 
          มารี กูรี เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 2410 และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2477 ในวัย 66 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งแห่งยุคคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคสมัยของเธอไม่ได้รับการศึกษาหรือโอกาสเท่าเทียมกับผู้ชายนัก เธอกลับมุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าจนกระทั่งค้นพบรังสีเรเดียมที่สามารถยับยั้งการขยายตัวของโรคมะเร็งได้ในที่สุด จนเป็นผลให้เธอได้รับรางวัลโนเบล ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากความเฉลียวฉลาดของเธอแล้ว การอุทิศตัวให้สังคมของเธอก็ยังทำให้หลาย ๆ คนประทับใจอีกด้วย เพราะเธอเลือกที่จะไม่จดสิทธิบัตรสิ่งที่เธอค้นพบซึ่งจะทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีได้สบาย ๆ แต่กลับเลือกอุทิศตัวเพื่อส่วนรวมและค้นคว้าต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตจากการใกล้ชิดรังสีเรเดียมมากเกินไปในที่สุด

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
5. อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Einstein)
 
        คงไม่มีใครไม่รู้จักนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี 1879 และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี 1955 ในขณะที่มีอายุ 77 ปี คนนี้ ซึ่งถึงแม้เขาจะเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ที่จริงแล้วเขาเคยเป็นเด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้มาก่อน โดยเขาไม่สามารถพูดได้จนกระทั่งอายุ 3 ขวบ และอ่านหนังสือออกเมื่อ 8 ขวบ จนไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จได้มากขนาดที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ รวมถึงสร้างทฤษฎีใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะผลงานเด่นเช่นทฤษฎีทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่อธิบายว่าเราทุกคนจะมองเห็นอัตราความเร็วแสงได้ในระยะเท่ากัน และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายกฎแรงโน้มถ่วงในเชิงเรขาคณิต ซึ่งทำให้นักวิชาการหลายคนจับตามองจนได้รับรางวัลโนเบลในที่สุด

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
6. ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Robert Darwin)
 
          ชาลส์ ดาร์วิน เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1809 และเสียชีวิตลงในวัย 73 ปี ในวันที่ 19 เมษายน ปี 1882 ซึ่งจนกระทั่งยุคปัจจุบัน ทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติคนนี้คิดค้นขึ้นก็งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เพราะมีทั้งคนที่ยอมรับและโต้แย้งในเวลาเดียวกัน โดยดาร์วินได้เขียนนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งอ้างว่าสัตว์ทั้งหลายจะปรับสภาพร่างกายเพื่อให้เข้ากับการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมทำให้มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นวิวัฒนาการ ซึ่งแม้ในปัจจุบันเขาจะได้รับยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังมีผู้ที่ปฏิเสธแนวคิดของเขาเช่นกัน

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
 
7. โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)
 
          เชื่อเถอะว่าในบ้านของเราต้องมีสิ่งประดิษฐ์ของ โทมัส อัลวา เอดิสัน กันทุกคนแน่นอน เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1847 และเสียชีวิตในวัย 84 ปี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปี 1931 คนนี้ เป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันกว่า 1,000 ชิ้น โดยเฉพาะการคิดค้นหลอดไฟที่เป็นผลงานชิ้นเอก แม้ว่าเขาจะมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ทำให้อ่านหนังสือไม่ออกจนกระทั่งอายุ 12 ปี และบกพร่องเรื่องการฟังหลังประสบอุบัติเหตุบนรถไฟก็ตาม 

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก
 
8. นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla)

          
นิโคลา เทสลา เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวโครเอเชียสัญชาติอเมริกัน ที่เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 1856 และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 1943 ในขณะที่มีอายุ 86 ปี โดยมีฉายาว่า"นักประดิษฐ์ที่โลกลืม" เพราะเป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญแต่กลับมีน้อยคนที่รู้จัก หรือถูกรู้จักในฐานะนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนจากการที่เขามีปัญหาในการเข้าสังคม มากกว่าจะสนใจผลงานของเขาที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้คนอื่น ๆ ซึ่งเขาเป็นผู้ประดิษฐ์ขดลวดเทสลา หรือ Tesla coil ซึ่งเป็นหม้อแปลงที่สามารถแรงดันไฟฟ้าสูง แถมยังเป็นผู้ค้นพบวิธีการเปลี่ยนสนามแม่เหล็กเป็นสนามไฟฟ้า จึงเป็นที่มาของหน่วยวัดสนามแม่เหล็กเทสลา อีกทั้งยังเป็นผู้ค้นพบวิธีการสื่อสารแบบไร้สายอีกด้วย

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก

9. กูกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi)
 
          นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีซึ่งเกิดเมื่อวันที่  25 เมษายน ปี 1874 และเสียชีวิตลงในขณะอายุ 63 ปี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1937 คนนี้ คือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตวิทยุคนแรกของโลกอย่างเป็นทางการ ซึ่ง กูกลิเอลโม มาร์โคนี ก็ได้ฉายแววความฉลาดมาตั้งแต่เด็กจากการสนใจเรื่องไฟฟ้าอยู่เสมอ จนพ่อของเขาสนับสนุนด้วยการจ้างครูพิเศษมาสอนเรื่องไฟฟ้าให้กับเขาโดยเฉพาะ และจากความสำเร็จของผลงานชิ้นสำคัญนี้ก็ได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเศรษฐีจากการเปิดบริษัทวิทยุโทรเลขมาร์โคนีในที่สุด

10 สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากทั่วโลก

10. อริสโตเติล (Aristotle)
 
          สุดท้ายนี้คือคนที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกในยุคสมัยเริ่มแรกของวิทยาศาสตร์อย่างนักวิทยาศาตร์ชาวกรีกซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 384 - 322 ปีก่อนคริสตศักราชอย่าง อริสโตเติล นั่นเอง ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญรอบด้านในหลายสาขา เช่น ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ วรรณกรรม และชีววิทยา โดยไหวพริบของอริสโตเติลนั้นทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของอัจฉริยะอย่างเพลโต ตั้งแต่อยู่ในวัย 18 ปีโดยผลงานที่เด่นที่สุดของเขาเห็นจะเป็นด้านชีววิทยา ซึ่งเขาเป็นผู้จำแนกประเภทของสัตว์ตามลักษณะออกเป็น 2 ประเภท คือ พวกที่มีกระดูกสันหลังและพวกที่ไม่มีกระดูกสันหลังทำให้ผู้คนนับถือความสามารถจนได้เป็นพระอาจารย์และพระสหายสนิทของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

ประวัติวันลอยกระทง


ประวัติวันลอยกระทง


ประวัติวันลอยกระทง









ป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่(เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา"มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง
ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย
ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น
      ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"
กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

 ประวัติ
  เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3
ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย
ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"
ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง
เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
-เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
 -ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้

แหล่งอ้างอิง http://blog.eduzones.com/rangsit/12371

โทษของอินเตอร์เน็ต


โทษของอินเตอร์เน็ต


โทษของอินเตอร์เน็ต
1.โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)
อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?
การเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผู้ที่มีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
 • รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
 • มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
 • ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
 • รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
 • ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
 • หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
 • การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
 • มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
 • ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้
มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ
2.เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)
เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้
3.ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา
ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วย
หนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542